มุมมองอุตสาหกรรม กาแฟถือเป็นเส้นทางที่มีผลกำไรสูง อุตสาหกรรมกาแฟยังมีห่วงโซ่อุปทานที่ยาวนาน สามารถเข้าได้จากหลายขั้นตอน ห่วงโซ่อุปทานนี้ประกอบด้วย การปลูกกาแฟทการขายเครื่องชงกาแฟ ในส่วนต้นมีการแปรรูปกาแฟทั้งแบบหยาบและแบบละเอียด การมีกระจายสินค้าและการขายอยู่ในส่วนปลาย
แพลตฟอร์ม BCTC ของประเทศไทยเคยกล่าวว่า จากมุมมองของมูลค่าอุตสาหกรรม การปลูกและการแปรรูปกาแฟแบบหยาบสามารถทำกำไรได้เพียง 1% ขณะที่การแปรรูปกาแฟแบบละเอียดทำกำไรได้ 6% และกำไรจากการขายในส่วนปลายน้ำสูงถึง 93% ซึ่งไม่ยากที่จะอธิบายว่าทำไมผู้ประกอบการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนมากถึงหันมาเปลี่ยนสายธุรกิจมาทำการขายกาแฟแทนที่มุ่งเน้นไปที่การปลูกเมล็ดกาแฟ
ในอุตสาหกรรมกาแฟส่วนปลายน้ำ ผลิตภัณฑ์กาแฟที่จำหน่ายสามารถแบ่งออกเป็นกาแฟสำเร็จรูป, กาแฟพร้อมดื่ม, กาแฟบดสด เป็นต้น โดยมีช่องทางการกระจายสินค้าที่ครอบคลุมทั้งร้านกาแฟ, ร้านกาแฟพรีเมียม, เครื่องชงกาแฟ, ร้านสะดวกซื้อ, ซุปเปอร์มาร์เก็ต, แพลตฟอร์มการสั่งอาหารออนไลน์ และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างๆ
แพลตฟอร์ม BCTC ยังชี้ให้เห็นว่า อัตรากำไรของผลิตภัณฑ์กาแฟเหล่านี้โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 50% ถึง 70% โดยที่กาแฟพร้อมดื่มมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดอยู่ที่ 70% ถึง 80% ในขณะที่กาแฟสำเร็จรูปซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำที่สุด ก็ยังสามารถทำได้ถึง 30% ถึง 50%.
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมล็ดกาแฟโรบัสต้าที่ผลิตได้มากที่สุด จะนำใช้ในการผลิตกาแฟสำเร็จรูป เนื่องจากมีราคาถูก กาแฟสำเร็จรูปจึงกลายเป็นผลิตภัณฑ์กาแฟที่ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลือกบริโภคมากที่สุด สำหรับกลุ่มคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้น้อย ความต้องการกาแฟสำเร็จรูปมีมากกว่า และแบรนด์กาแฟสำเร็จรูปที่มีชื่อเสียงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ Khao Shong จากประเทศไทย, Ipoh White Coffee จากมาเลเซีย และ Trung Nguyen Coffee จากเวียดนาม
วัฒนธรรมการบริโภคกาแฟของตะวันตก กาแฟพร้อมดื่มและกาแฟสดก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีผู้ประกอบการท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายคนที่เริ่มเปิดร้านกาแฟพรีเมียม แม้ว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่มีแบรนด์กาแฟขนาดใหญ่ที่ครองตลาดเหมือนกับสตาร์บัคส์ แต่แบรนด์กาแฟท้องถิ่นในแต่ละประเทศก็ยังคงแข่งขันสูงแม้ว่า Kopi Kenangan จะกลายเป็นแบรนด์กาแฟร้านแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่คู่แข่งก็ไม่อาจมองข้ามได้ ในปี 2018 บริษัทท้องถิ่นของอินโดนีเซียอย่าง East Ventures เป็นต้นแบบในการพัฒนาแบรนด์กาแฟ Fore Coffee ภายในบริษัท ในมุมมองของ Willson Cuaca ผู้ก่อตั้ง East Ventures การค้าปลีกออนไลน์เป็นการทดสอบพฤติกรรมการบริโภค และกาแฟถือเป็นผลิตภัณฑ์เริ่มต้นที่ง่ายที่สุดในการทำให้มีมาตรฐาน นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังเป็นแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพสูงของโลก มีห่วงโซ่อุปทานกาแฟที่ครบวงจร และมีวัฒนธรรมกาแฟที่ยาวนาน CEO Vico Lomar คนปัจจุบันของ Fore Coffee ได้เปิดเผย 7.5 ว่า เมื่อเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นของกำไรกาแฟส่วนใหญ่ในอินโดนีเซีย อัตรากำไรขั้นต้นของ Fore Coffee ค่อนข้างสูง อยู่ที่ประมาณ 66% และบริษัทสามารถทำกำไรได้ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2021
ที่สิงคโปร์ ร้านกาแฟขนาดใหญ่และขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วทั้งเกาะ กาแฟ Flash Coffee ก่อตั้งขึ้นในปี 2019 มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในช่วงปีที่ผ่านมา โดยมี Rocket Internet ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจในด้านการลงทุนเป็นผู้สนับสนุน หลังจากที่ได้รับเงินทุนในรอบ A จำนวน 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนเมษายน 2021 Flash Coffee ประกาศว่าจะใช้เงินทุนในการขยายธุรกิจไป 10 ที่ในอาเซียน Flash Coffee เน้นการนำเสนอเครื่องดื่มกาแฟคุณภาพสูงในราคาประหยัด โดยผู้บริโภคสามารถสั่งและชำระเงินได้ผ่านแอปพลิเคชัน ปัจจุบัน Flash Coffee ดำเนินงานกว่า 50 แห่งในประเทศสิงคโปร์, ไทย, อินโดนีเซีย เป็นต้น ร้านส่วนใหญ่สามารถทำกำไรได้ ปีนี้ Flash Coffee ยังมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 300 แห่ง
หากพูดถึงจำนวนสาขา แบรนด์กาแฟที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทย คือ Café Amazon แบรนด์กาแฟนี้ดำเนินกิจการในประเทศไทยมากกว่า 3,000 สาขา และยังมีจุดให้บริการเกือบ 300 แห่งในตลาดต่างๆ เช่น กัมพูชา, ลาว, ฟิลิปปินส์, โอมาน, เมียนมาร์, เวียดนาม, จีน, สิงคโปร์, มาเลเซีย และญี่ปุ่นเป็นต้น
Café Amazon ก่อตั้งขึ้นในปี 2002 เป็นแผนกค้าปลีกของบริษัท PTT Public Company Limited (PTT) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คาดว่าในปี 2025 Café Amazon จะขยายจำนวนสาขาต่างประเทศให้ถึง 1,000 แห่ง
รายงานการวิจัยอุตสาหกรรมของแพลตฟอร์ม BCTC ของประเทศไทย เคยทำการศึกษาตลาดกาแฟในมาเลเซีย โดยระบุว่าใน 10 อันดับแบรนด์กาแฟชั้นนำของมาเลเซีย มีแบรนด์ท้องถิ่นอยู่ 6 แบรนด์ และแบรนด์จากสหรัฐอเมริกามี 3 แบรนด์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแบรนด์กาแฟท้องถิ่นมีความสามารถในการแข่งขันไม่แพ้กับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เมื่อเทียบกับแบรนด์จากสหรัฐอเมริกา แบรนด์ท้องถิ่นของมาเลเซียมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่ ร้านกาแฟ, ร้านกาแฟแบบผสมผสาน, ร้านกาแฟโดนัท, และร้านกาแฟออนไลน์ โดยเฉพาะ Zus Coffee ที่คล้ายกับ瑞幸咖啡 (Luckin Coffee) ได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้ใบริโภคในประเทศมาเลเซีย ก่อตั้งในปลายปี 2019 แอปของ Zus Coffee มียอดดาวน์โหลดถึง 150,000 ครั้ง และขายกาแฟไปมากกว่า 4 ล้านแก้ว