แหล่งข่าวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ มีแผนที่จะขยายการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ มีเป้าหมายไปยังอิรัก ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของการบังคับใช้การคว่ำบาตรต่ออิหร่าน โดยมีเป้าหมายต่อประเทศที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 2 ของ OPEC และเป็นแหล่งลักลอบนําเข้าน้ำมัน
ข้อมูลจาก S&P Global Commodity Insights กล่าวว่า การคว่ำบาตรจะมุ่งเป้าไปที่อิทธิพลของอิหร่านในกรุงแบกแดด ซึ่งกลุ่มการเมืองเตหะรานควบคุมพื้นที่ขนาดใหญ่ของรัฐบาลอิรักและอุตสาหกรรมน้ำมัน หากมีการบังคับใช้การคว่ำบาตรอย่างเต็มรูปแบบกับกรุงแบกแดด จะส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันของอิรักที่มากกว่า 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน และการส่งออกน้ำมันที่ประมาณ 3.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน
แม้อิรักจะมีแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่มักจะประสบปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าและต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากอิหร่าน แหล่งข่าวกล่าวว่า การยกเว้นการคว่ำบาตรสำหรับการนำเข้าก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้าจากอิหร่านจะถูกยุติ ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสามารถในการผลิตไฟฟ้าของอิรัก เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน อิหร่านได้ลดการส่งออกก๊าซธรรมชาติไปยังอิรักจาก 25 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เหลือเพียง 7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ทำให้อิรักสูญเสียพลังงานไฟฟ้าไป 5.5 กิกะวัตต์
ข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รายได้ส่วนใหญ่ของรัฐบาลอิรัก (95%) มาจากการส่งออกน้ำมันดิบ ในปี 2022 อิรักมีรายได้สุทธิจากน้ำมันอยู่ที่ 131,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การคว่ำบาตร อาจทำให้การลงทุนของชาติตะวันตกในอุตสาหกรรมน้ำมันของอิรักหยุดชะงัก โดยกรุงแบกแดดยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการผลิตน้ำมันดิบที่ 7 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2027 และเพิ่มการเก็บก๊าซธรรมชาติที่เกิดจากการผลิตน้ำมันเพื่อนำมาใช้ในโรงไฟฟ้า เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้า