ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับสองของโลก โดยอุตสาหกรรมข้าวมีบทบาทสำคัญในภาคการเกษตร ข้อมูลในปี 2022 ระบุว่า จากจำนวนเกษตรกรไทยทั้งหมด 13 ล้านคน กว่า 60% ปลูกข้าว และพื้นที่นาข้าวคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดของประเทศ ความเหมาะสมของประเทศไทยสำหรับการปลูกข้าวนั้นมาจากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่โดดเด่น
ประเทศไทยตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน มีพื้นที่ประมาณ 513,000 ตารางกิโลเมตร และประชากรเกือบ 70 ล้านคน มีพรมแดนติดกับพม่า ลาว และกัมพูชา ทางตอนใต้ติดกับอ่าวไทย ภูมิประเทศแบ่งออกเป็นหลายส่วน ได้แก่ พื้นที่ป่าเขาทางตอนเหนือ ที่ราบภาคกลาง ที่ราบสูงทางตะวันออกเฉียงเหนือ และชายฝั่งทะเลที่แคบและขรุขระทางตอนใต้
สภาพภูมิอากาศของประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะพัดพาอากาศร้อนชื้นจากมหาสมุทรอินเดียเข้ามาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ทำให้มีฝนตกชุกและความชื้นสูง ส่วนมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจะนำอากาศเย็นจากประเทศจีนเข้ามาตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ ทำให้ประเทศไทยส่วนใหญ่มีสภาพอากาศแบบร้อนชื้นสลับแห้งแล้งหรือทุ่งหญ้าสะวันนา บางพื้นที่ทางตอนใต้และตะวันออกมีสภาพอากาศแบบมรสุมเขตร้อน และบางส่วนของภาคใต้มีสภาพอากาศแบบป่าฝนเขตร้อน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 1,200 - 1,600 มิลลิเมตร แม้ว่าจะมีช่วงแล้งสั้น ๆ ในเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม แต่โดยรวมแล้วมีปริมาณน้ำฝนเพียงพอสำหรับการปลูกข้าว
ในด้านภูมิประเทศ ภาคเหนือของประเทศไทยมีภูเขามากมาย ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการเกษตรขนาดใหญ่ ในขณะที่ที่ราบภาคกลางมีพื้นที่ราบเรียบ ถือเป็นศูนย์กลางการเกษตร พื้นที่นี้เป็นที่ราบลุ่มของแม่น้ำเจ้าพระยาและสาขาต่าง ๆ ซึ่งไหลลงสู่อ่าวไทย แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นระบบแม่น้ำหลัก มีพื้นที่ลุ่มน้ำประมาณ 150,000 ตารางกิโลเมตร เป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับการชลประทาน แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขงร่วมกันสนับสนุนการปลูกข้าว และเครือข่ายคลองยังช่วยในการขนส่งสินค้าและผู้คน ซึ่งสนับสนุนเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศไทย
โดยสรุป ประเทศไทยมีสภาพอากาศที่เหมาะสม ปริมาณน้ำฝนเพียงพอ ภูมิประเทศราบเรียบ และแหล่งน้ำชลประทานที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้เป็นดินแดนที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการปลูกข้าว ซึ่งเป็นพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับการครองตำแหน่งสำคัญในตลาดส่งออกข้าวโลก
